บินให้คุ้ม ช้อปให้มันส์ในช่วงเทศกาลสินค้าลดราคาทั้งเกาะฮ่องกง (Hong Kong Grand Sale 2018) กับฮ่องกงแอร์ไลน์

บินให้คุ้ม ช้อปให้มันส์ในช่วงเทศกาลสินค้าลดราคาทั้งเกาะฮ่องกง (Hong Kong Grand Sale 2018) กับฮ่องกงแอร์ไลน์

 

ในช่วง เดือน มิถุนายน ถึง สิงหาคม ของทุกปี 3 เดือนนี้ เป็นเดือนพิเศษที่เหล่านักช้อป ขาช้อป จะต้องแคะกระปุกไปช้อปใน งานเซลล์ประจำปีของเกาะฮ่องกง หรือ ที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า ฮ่องกงลดทั้งเกาะ หรือ Hong Kong Grand Sale มหกรรมลดราคาสินค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีของประเทศฮ่องกง ซึ่งปกติจะลดกันที่ 70 – 80% ในปี 2018 นี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 นี้ครับ การเลือกสายการบินที่จะบินไปยังฮ่องกงเพื่อช้อปปิ้งนี้ แนะนำสายการบินที่เป็นฟูลเซอร์วิสครับ ตัวอย่างเช่น สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เป็นต้น

 

เตรียมตัวให้พร้อม

เพื่อให้ประหยัดค่าตั๋วเครื่องบินให้มากที่สุด ขาช้อปทั้งหลายควรที่จะสำรวจตั๋วเครื่องบินอยู่เป็นประจำ ระยะเวลาในการจองตั๋วเครื่องบินในช่วง งานเซลล์ประจำปีของเกาะฮ่องกง เดือน มิ.ย. ถึง ส.ค. นี้ควรจะเริ่มจองตั๋วตั้งแต่เดือน มกราคม – มีนาคม ครับ เพราะช่วงนี้จะมีโปรโมชั่นอยู่เยอะมาก ทั้งสายการบินโลว์คอสไปจนถึงฟูลเซอร์วิส

 

สายการบินที่น่าสนใจมากที่สุดอันดับ 1 เลย คือ ฮ่องกงแอร์ไลน์ ครับ เป็นสายการบินฟูลเซอร์วิสที่มีเที่ยวบินตรงไปยังประเทศฮ่องกงเยอะมาก มีเที่ยวบินตรง จาก กรุงเทพฯ ไปยัง ฮ่องกง ถึง 5-6 เที่ยวต่อวัน ฮ่องกงแอร์ไลน์ ถือเป็นสายการบินอันดับ 2 ที่มีเที่ยวบินตรงไปยังฮ่องกงมากที่สุดครับ

บรรยากาศด้านนอกเครื่องบินของสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ บินตรง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง

 

วันนี้จะพาบินไปกับสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ พร้อมทั้งข้อมูลแนะแนวในชั้นประหยัด และชั้นธุรกิจ ของสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์อย่างละเอียดกันครับ

 

ข้อมูลทั่วไปของฮ่องกงแอร์ไลน์

สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์สามารถจะบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ และมีไฟลท์การเดินทางจำนวน 5 เที่ยวต่อวัน ผู้ที่ซื้อตั๋วกับทางสายการบินจะมีน้ำหนักกระเป๋าให้ตามกฎของสายการบิน มีอาหารเสิร์ฟ (แบ่งออกเป็นเสิร์ฟขนมปังและอาหารหลัก) และสามารถเลือกที่นั่งได้

 

รายละเอียดไฟลท์แรกจะเป็นชั้น Economy Class ไฟลท์ HX768 ที่นั่ง 32A ซึ่งมีกำหนดการจะออกจาก กรุงเทพฯ เวลา 08.25 น. และถึงสนามบินฮ่องกง เวลา 12.20 น. (เวลาที่ฮ่องกงจะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง)

 

ไฟลท์บินของฮ่องกงแอร์ไลน์

ไฟลท์เส้นทาง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง จะมีทั้งหมด 5 – 6 ไฟลท์ต่อวันครับ ซึ่งจะมี 3 ไฟลท์ คือ เที่ยวบิน HX768 , HX772 และ HX776 ที่จะเสิร์ฟอาหารอุ่นร้อนครับ ส่วน HX780 , HX762 และ HX766 จะเสิร์ฟขนมปังพร้อมเครื่องดื่มตามปกติจากรถเข็นครับ ซึ่งถ้าเครื่องดื่มไม่เพียงพอสามารถแจ้งกับพนักงานต้อนรับได้ตลอดครับ

1   HX780   BKK – HKG 0335   0805   359

2   HX762   BKK – HKG 0440   0900   33S

3   HX768   BKK – HKG 0825   1220   33T

4   HX772   BKK – HKG 1125   1530   33S

5   HX776   BKK – HKG 1405   1820   32S

6   HX766   BKK – HKG 2050   0055+1 332

 

Counter Check-In ของฮ่องกงแอร์ไลน์

พอมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ แนะนำให้ลงประตู 4 หรือ 5 เพราะจะตรงกับ Row K ซึ่งเป็นเค้าเตอร์เช็คอินประจำของสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์นี้ครับ

สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์จะเป็นแบบฟูลเซอร์วิส ดังนั้นผู้โดยสารทุกท่านสามารถโหลดสัมภาระได้ โดย

  • ผู้โดยสารในชั้นประหยัด สามารถโหลดสัมภาระได้ 20 กิโลกรัม
  • ผู้โดยสารในชั้นธุรกิจ สามารถโหลดสัมภาระได้ 30 กิโลกรัม

นอกจากนี้ยังสามารถขนสัมภาระขึ้นเครื่องได้อีก 7 กิโลกรัมอีกด้วย

เมื่อเช็คอินที่ Row K เรียบร้อย เราก็จะไปผ่าน Immigration เรียบร้อยแล้วถ้ามีเวลาก็สามารถไปช้อปปิ้งได้ สำหรับคนที่บินในชั้นธุรกิจ สามารถไปใช้ห้องรับรองพิเศษได้ที่ Miracle Lounge ครับ

 

*** พี่ช้างแนะนำให้เข้า Lounge Miracle ตรง Concourse D ครับ เพราะจะใหญ่โตโอ่อ่า ที่สำคัญมีอาหารทำสด เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวมันเป็ดย่าง อีกด้วยครับ ***

หลังจากอิ่มหนำสำราญ ช้อปปิ้งเรียบร้อย ก็เดินมาแสตนบายที่ Gate กันครับ พนักงานของสายการบินยิ้มแย้มต้อนรับเป็นอย่างดี ตรวจเช็คพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยก็นั่งรอขึ้นเครื่องกัน

สำหรับใครที่อยากเข้าห้องน้ำก็สะดวกสบายมาก เพราะตรงจุดที่นั่งรอมีห้องน้ำสะอาดไว้ให้บริการ ด้วย ระหว่างนี้ก็สามารถนั่งรอขึ้นเครื่องได้อย่างสบายใจ นั่งมองเครื่องบินผ่านกระจกใสๆ กันเพลิน ๆ ครับ

เครื่องบินของสายการบิน Hong Kong Airlines

 

หลังจากได้เวลา เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกขึ้นเครื่องตามแถวและโซนที่นั่งครับ

ที่นั่งและบรรยากาศตัวเครื่องใหม่เอี่ยม นั่งสบายมาก ๆ ครับ สังเกตุได้จากระยะห่างของที่นั่งแต่ละแถว กว้างขวางมาก ๆ ระยะห่างของแต่ละที่นั่งจะอยู่ที่ประมาณ 31 – 34 นิ้ว ตัวเบาะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 18 นิ้วครับ

ที่นั่งสีแดงสวยงามออกแบบมาตามสไตล์ของสายการบิน การจัดเรียงขึ้นอยู่กับตัวเครื่องครับ ในไฟลท์นี้จัดเรียงแบบ 2-4-2 ครับ สำหรับเครื่อง A330

เครื่องขึ้นแล้วนั่งมองวิวกันเพลิน ๆ เพียงแค่ 3 ชั่วโมงก็ถึงฮ่องกงแล้วครับ

สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์เป็นสายการบินแบบฟูลเซอร์วิส มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะเป็นจอ PTV มีภาพยนต์ เพลง และเกมไว้ให้เราเลือกใช้บริการกันตามใจชอบ สามารถชม ฟังเพลง ด้วยหูฟังที่พนักงานแจกมาให้ครับ ด้านล่างจอทัชสกรีนก็สามารถเสียบสายชาร์จแบตโทรศัพท์ได้ด้วย

นั่งดูหนัง ฟังเพลงเพลินๆ ก็ถึงเวลารับประทานอาหารครับ สามารถเลือกอาหารทานได้ วันนี้มีให้เลือก 2 เมนู ได้แก่ ออมเล็ตพร้อมไส้กรอก และ ข้าวผัด ที่มาเสิร์ฟพร้อมกับครัวซองต์ แยมสตรอว์เบอร์รี โยเกิร์ต ผลไม้ และน้ำเปล่า หน้าตาน่ารับประทาน รสชาติดีใช้ได้เลยครับ ในระหว่างนี้พนักงานต้อนรับก็จะเสิร์ฟน้ำประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ซอฟท์ดริ้งค์ โค้ก สไปร์ รวมไปถึง ไวน์ เบียร์ กาแฟ ชา ด้วยครับ

 

หลังจากอิ่มท้องได้สักครู่ นักบินก็ประกาศว่าเครื่องใกล้จะลงจอดที่สนามบินฮ่องกงแล้วครับก่อนจะลงจอดอย่างสวยงาม นุ่มนวลมาก ๆ

ขากลับ

สำหรับขากลับของนักช้อป แนะนำเป็น ชั้น Business Class เลยครับ เพราะนอกจากจะได้ไฟลท์กลับเป็นไฟลท์มืดจะได้เที่ยวได้เต็มวัน ราคาไม่ต่างจากตั๋วชั้นประหยัด แถมยังได้น้ำหนักกระเป๋ามากถึง 30 กิโลกรัมอีกด้วย  ไฟลท์นี้ คือ ไฟลท์ HX769 ได้ที่นั่ง 12G ครับ บินกับเครื่องบินรุ่นใหม่ Airbus A350 ซึ่งตามกำหนดการ เครื่องจะออกจากสนามบินฮ่องกง เวลา 00.35 น. และถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 02.35 น.

 

ที่สนามบินฮ่องกง เคาเตอร์เช็คอินของสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ จะอยู่ที่ Terminal 1 พอเดินมาถึงก็จะเห็นภาพสองสาวยืนต้อนรับอยู่ตรงทางเดินด้านหน้าพอดี ในการเช็คอินในชั้น Business Class จะแยกออกมาต่างหากจากชั้น Economy Class ครับ ซึ่งเค้าเตอร์เช็คอินของชั้น Business Class นี้จะมีผู้โดยสารเข้ามาเช็คอินเพียงแค่ 30 กว่าคนเท่านั้นตามจำนวนของที่นั่งบนเครื่องครับ สำหรับเครื่อง A350 จะมีที่นั่ง Business Class เพียงแค่ 33 ที่นั่ง ซึ่งทำให้สามารถเช็คอินได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ ครับ ในชั้น Business Class สามารถโหลดกระเป๋าได้ 30 กิโลกรัมและสามารถถือขึ้นเครื่องได้อีก 7 กิโลกรัมครับ

 

เมื่อเช็คอินผ่าน ตม. เรียบร้อย สำหรับผู้ที่บินในชั้น Business Class สามารถไปเข้าเล้าจน์ของฮ่องกงแอร์ไลน์ได้ที่บริเวณใกล้ ๆ เกทเลยครับ เล้าจน์ชื่อ Club Autus ถือเป็นเล้าจน์ที่ใหญ่โตมาก ๆ ครับ แนะนำให้ทาน “วัฟเฟิลฮ่องกง” ในเล้าจน์ Club Autus นี้ครับ ซึ่งมีเพียงเล้าจน์เดียวในประเทศฮ่องกงที่มีวัฟเฟิลเลยครับ นอกจากนี้ถ้าใครที่ง่วงก็จะมี Quiet Zone ให้นอนหลับพักผ่อนด้วยครับ เงียบสงบมาก ๆ นอนสบายสุด ๆ

ใกล้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว สามารถเดินไปขึ้นเครื่องได้ใช้เวลาไม่นานครับ เจ้าหน้าที่ก็จะตรวจ Boarding Pass และ Passport เรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มทำการ Boarding ชั้น Business Class ก่อน

 

พอเดินเข้ามาด้านใน ก็จะพบเก้าอี้สีแดงสดใส มีลวดลายจีน พร้อมหมอน และผ้าห่มวางอยู่ ที่นั่งในชั้นธุรกิจบนเครื่อง Airbus A350 จะเป็นแบบ 1 – 2 – 1 ครับ ชอบที่นั่งเดี่ยวก็สามารถเลือกนั่งติดหน้าต่างได้ หรือหากมาเป็นคู่อยากจะคุยเล่นกันก็เลือกนั่งตรงกลางที่เป็นที่นั่งคู่ก็ได้ครับ ทุกที่นั่งจะแบ่งออกเป็นบล๊อก ๆ มีพื้นที่สำหรับวางของ ช่องเก็บสิ่งของส่วนตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น ช่อง USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์  , ไฟสำหรับอ่านหนังสือ และ ปุ่มปรับเก้าอี้ที่สามารถนอนราบได้ 180 องศา เป็นต้น ส่วนใครที่มีเสื้อสูทมาสามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ช่วยเก็บไว้ให้ได้ครับ ที่นั่งมีขนาดกว้างขวางมาก มีที่วางขา พร้อมช่องสำหรับวางรองเท้าใต้ที่วางเท้าครับ เมื่อปรับที่นั่งให้เอนนอนก็จะสามารถยืดขาได้สบาย จะนอนดูหนัง ฟังเพลง หรือ นั่งเล่นเกม ก็สะดวกสบายเพลิดเพลินได้ตลอดไฟลท์เลย

หลังจากเก็บของที่นั่งเรียบร้อยไม่นาน พนักงานต้อนรับก็จะมาแนะนำตัวและสอบถามว่าต้องการเครื่องดื่มต้อนรับเป็นอะไรดีครับ ซึ่งจะมีให้เลือกทั้งน้ำผลไม้ หรือ ซอฟท์ดริ้งค์ เช่น โค้ก ก็สามารถสั่งได้ครับ ซึ่งจะเสิร์ฟพร้อมกับผ้าร้อนเพื่อให้สดชื่นครับ

 

นั่งได้สักพักพนักงานก็นำเมนูสีแดงสดใสมาให้เลือก โดยจะเริ่มเมนู Starter ด้วยผลไม้ตามฤดูกาล พร้อมขนมปัง เนย และขนมหวาน สำหรับ Main Course จะมีให้เลือกระหว่าง Sous vide prawns with XO tomato sauce and mezzi rigatoni เรียกง่าย ๆ ว่าเมนูมักกะโรนีกุ้งผัดซ้อสมะเขือเทศ XO และ Sauteed spicy beef , egg fried rice with carrot , leek and celery หรือจะเรียกว่า ข้าวผัดเผ็ดเนื้อกับแครอทโรยด้วยผักชีฝรั่งครับ ของหวานจะเป็น Strawberry yoghurt mousse with raspberry comepote

พอเครื่อง Take Off พนักงานก็มารับออเดอร์อาหาร ซึ่ง Main Course วันนี้เลือกเป็น

Sous vide prawns with XO tomato sauce and mezzi rigatoni โดยในระหว่างรอก็มีน้ำแอปเปิ้ลและถั่วกรุบกรอบมาเสิร์ฟให้ทานเล่นก่อนครับ

หลังจากนั้นอาหารที่สั่งไว้ก็ค่อยๆ มาเสิร์ฟ รสชาติจัดว่าดีเยี่ยม แต่ที่ชอบที่สุดคือเมนูของหวาน คือ Strawberry yoghurt mousse with raspberry comepote ที่รสชาติกลมกล่อมกำลังดี เรียบร้อยแล้ว พนักงานก็จะนำ Main Course มาเสิร์ฟให้ กุ้งตัวใหญ่ สดใหม่ รสชาติกำลังดีไม่เข้มข้นจนเกินไป ทานง่ายครับ

 

พอทานเสร็จ หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ก็เริ่มปรับที่นั่งเป็นเตียงนอนพักผ่อนสักระยะก็เตรียมพร้อม Landing ที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ

 

ไฟลท์หลัก ๆ ของฮ่องกงแอร์ไลน์ที่บินจาก กรุงเทพฯ ไปยังฮ่องกง และจากฮ่องกง มายังกรุงเทพฯ เวลาค่อนข้างดี สามารถเลือกได้ตามความชอบ เพราะมีถึง 6 เที่ยวบิน / วัน สำหรับในชั้นประหยัดราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 6,000 บาท ชั้นธุรกิจ จะอยู่ที่ 11,000 – 12,000 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งบางช่วง อย่างเช่น ช่วง Hong Kong Grand Sale นี้ราคาค่าตั๋วค่อนข้างแพงมาก แต่ถ้าสามารถเพิ่มเงินอีกสักหน่อยนึงประมาณ 2,000 – 3,000 บาท แลกกับ น้ำหนักกระเป๋า 30 กิโลกรัม , อาหาร , สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการชั้นเลิศ ถือว่าคุ้มค่าไม่แพงเลยครับกับสายการบินฟูลเซอร์วิสอย่างฮ่องกงแอร์ไลน์