Checklist 20 ข้อ ที่ควรทำเมื่อไปถึงญี่ปุ่น หมดคำถามว่าควรไปทำอะไรดี

Checklist 20 ข้อ ที่ควรทำเมื่อไปถึงญี่ปุ่น ตามเก็บถือว่าเป็นตัวจริงเรื่องญี่ปุ่น

เวลาไปเที่ยวประเทศไหนๆ เคยตั้งเป้าหมายเอาไว้บ้างไหมว่าอยากไปทำอะไรที่นั่นบ้าง? บางคนก็ชอบไปแบบไม่มีเป้าหมาย ชอบสบายๆ แต่นั่นก็อาจทำให้เราพลาดอะไรหลายๆอย่างที่สวยงามน่าค้นหาของประเทศนั้นๆไปได้เลยครับ วันนี้พี่ช้างอยากจะมาแชร์ Checklist ที่พี่ช้างคิดว่าคนมาญี่ปุ่นต้องไม่พลาดเลยเด็ดขาด เพื่อนๆจะได้หมดคำถามในใจว่าไปญี่ปุ่นไปทำอะไรดี? แค่ไปตาม Checklist นี้ก็คือตัวจริงเรื่องญี่ปุ่นแล้วล่ะครับ


1. สั่งชุดเซ็ทอาหารเช้าสุดอลังการ หรือ Morning set

หากคุณเป็นคนที่ตื่นสายโด่งจนพระอาทิตย์เกือบไหม้ก้น ข้อนี้ข้ามไปได้เลยครับ หมดสิทธิ์! ถ้าได้มาประเทศญี่ปุ่นอยากให้ลองตื่นเช้าๆดูซักครั้งประมาณ 7 โมงเช้ากำลังดี แล้วปักหมุดร้านอาหารเช้าที่อยากไป แนะนำให้ทำการรีเสิร์ชก่อนไปทุกครั้ง เมื่อมาถึงร้านให้ลองสั่งเซ็ทอาหารเช้าที่ดูยิ่งใหญ่อลังการที่สุด อาจจะเป็น แพนเค้กนุ่มฟูชิ้นโต ท็อปด้วยเนยชิ้นใหญ่ด้านบน ราดด้วยน้ำผึ้งหอมๆฉ่ำ หวานกำลังดี ตัดรสด้วยการทานกับชาผลไม้ซักถ้วย หรือกาแฟเข้มๆ ถ้าไม่ชอบเมนูของหวานก็แนะนำให้ลองสั่งเป็นออมเลตสไตล์ญี่ปุ่นที่ด้านในยังเป็นเยลลี่นุ่มนิ่ม หรือสเต็กแฮมเบิร์กราดด้วยเดมิกราซ์ซอสเข้มข้น แล้วคุณจะค้นพบว่าการตื่นเช้าในประเทศญี่ปุ่นเป็นอะไรที่คุ้มค่าสุดๆเลยครับ


2. ไปสวนสนุกให้ครบทุกเมือง

ถ้าคุณยังไม่เคยไปสวนสนุกในประเทศญี่ปุ่นเลยสักที่อาจทำให้คุณพลาดอะไรบางอย่างในชีวิตไปเลยครับ สวนสนุกที่แนะนำให้ไปมีทั้งหมด 3 แห่งและแต่ละแห่งก็จะมีความแตกต่างกันอยู่ค่อนข้างมากเลยครับ ไปแล้วจะได้หลากหลายอารมณ์ เรียงลำดับไล่ลงไปได้เลย

1) โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)

สาวกดิสนีย์ห้ามพลาดเด็ดขาด นี่คือสวนสนุกธีมปาร์ค ที่ขนตัวการ์ตูนคาร์แรกเตอร์ชื่อดังจากค่ายดิสนีย์มาให้ชมกันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ คุณแม่ คุณตา คุณยายกันเลย สำหรับสวนสนุกนี้จะไม่ค่อยเน้นความหวาดเสียวของเครื่องเล่นเท่าไหร่ครับ จะเป็นเครื่องเล่นที่เด็กเล่นได้เป็นส่วนใหญ่ แต่จะเน้นไปที่การจัดธีมของเครื่องเล่นตามภาพยนตร์มากกว่า นอกจากเครื่องเล่นยังมีกิจกรรมอื่นๆให้ร่วมอีก เช่น การแสดงละคร การเดินขบวนพาเรด การเปิดสถานที่จำลองเหมือนในภาพยนตร์ และตัวละครในชุดมาสคอต
ที่ตั้ง : เมืองอุระยะซุ จังหวัดชิบะ
วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Keiyo Line สีแดง มาลงที่สถานี Maihama จากนั้นจึงค่อยต่อสาย Disney Resort Line โดยเริ่มต้นจากสถานี Disney Resort Gateway Station > Tokyo Disneyland Station > Bayside Station > Tokyo Disneysea station หากใครไม่อยากนั่งรถไฟ ก็สามารถลงสถานี Maihama และเดินเท้าไปตามป้ายจนถึง Tokyo Disneyland ได้เลยใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้นครับ

2) ยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอ เจแปน (Universal Studio Japan หรือ USJ)

นี่เป็นสวนสนุกธีมพาร์คอีกหนึ่งแห่งที่ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับโลกเลยทีเดียว เพราะ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักค่ายหนังชื่อดังระดับฮอลลีวูดแห่งนี้ซึ่งเมื่อกล่าวถึงผลงานชิ้นเอกของค่ายคงจะเลี่ยงไม่ได้ว่ามันคือ Harry Potter ภาพยนตร์ที่มีแฟนหนังหนาแน่นมากพอๆกับ Starwars เลยทีเดียว และอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่สวนสนุกแห่งนี้ก็ยังหนีไม่พ้น Harry Potter ครับ แต่ไฮไลท์อื่นๆก็น่าสนใจมากๆไม่แพ้กันเลย ได้แก่ Minion เจ้าตัวประหลาดสีเหลืองตาโตที่มีคาร์แรกเตอร์แฟนเป็นจำนวนมาก และ อีกเครื่องเล่นที่ไม่ว่าใครมาก็ห้ามพลาดคือ Flying Dinosaur ถือเป็นเครื่องเล่นที่โหดที่สุดในสวนสนุกนี้แล้วด้วยองศาการห้อยตัวและเคลื่อนไปตามรางด้วยความเร็วสูงเหมือนกับถูกเทอราโนดอนหิ้วปีกแล้วบินอยู่เหนือท้องฟ้าจริงๆเลยครับ ส่วนเครื่องเล่นอื่นๆส่วนมากจะเน้นการใช้ภาพ 4K เสมือนจริงทำให้เหมือนเราได้อยู่เหตุการณ์นั้นจริงๆส่วนที่พี่ช้างติดใจที่สุดก็จะเป็น Minion Park และ The Wizarding World Harry Potter นี่แหละครับ สมกับเป็นเครื่องเล่นไฮไลท์ของเขาจริงๆเลย
ที่ตั้ง : เขตโคโนฮานะ จังหวัดโอซาก้า
วิธีเดินทาง : ขึ้นรถไฟสาย JR Osaka loop line ไปลงสถานี Nishikujo จากนั้นไปต่อ JR Yumesaki line ไปลงที่สถานี Universal city station

3) ฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji Q Highland)

สวนสนุกนี้จะแตกต่างจากสองที่แรกอย่างสิ้นเชิงแต่จุดเด่นของที่นี่ คือ ความโหดระดับสิบเต็มสิบไปเลย ต้องบอกเลยว่าเครื่องเล่นที่นี่ถ้าใครไม่ได้เตรียมตัวมาได้หัวใจวายแน่นอน เพราะ ที่นี่มีเครืองเล่นที่ติดอันดับความหวาดเสียวที่สุดในโลก รถไฟเหาะหลากหลายแบบที่ไม่ว่าอันไหนก็ทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจทั้งนั้น พี่ช้างขอเรียงลำดับจากน่ากลัวมากสุดไปน้อยสุดเลย ได้แก่ King of coaster Fujiyama รถไฟเหาะรางยาวที่สุด, Takabisha รถไฟเหาะที่ไต่รางชันแบบแนวดิ่งเหมือนตกจากตึก, The World Bucchigiri coaster Dodonpa รถไฟเหาะที่เร็วสุดๆแบบหน้ายับกันไปเลย, Eejanaika รถไฟเหาะตีลังกาห้อยขากลางฟ้า, Panic clock ไวกิ้งที่หมุนแบบนาฬิกา, Tekkotsu Bancho ชิงช้าหมุนลอยฟ้า, Red Tower หอคอยวัดใจ, Tondemina ไวกิ้งกงล้อที่จับเหวี่ยงแล้วหมุนไปมาบนฟ้า, Ultimate Horror Labyrinth บ้านผีสิงในธีมโรงพยาบาลบ้านผีสิงนี้ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวติดอันดับโลกเหมือนกันครับ และท้ายสุดชิงช้าสวรรค์ที่คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้าขึ้นไปสารภาพรักข้างบนจะทำให้รักยืนยาว อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณน้า แต่แนะนำให้ขึ้นเพราะคุณจะเห็นภูเขาไฟฟูจิแบบชัดเจนในมุมสูงครับพอเห็นวิวแล้วรู้เลยว่าคุ้มค่าจริงๆที่ได้มาที่นี่
ที่ตั้ง : เมืองฟูจิโยชิดะ จังหวัดยามานาชิ
วิธีเดินทางไป : หาเส้นทางไปลง Kawaguchiko station และลงที่สถานี Fujikyu Highland Station


3. อาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อ

ในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นแดนสวรรค์อีกหนึ่งแห่งของคนรักอาหาร เพราะ อาหารญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อมากทั้งเรื่องความสด และรสชาติที่ไม่เป็นสองรองใคร ไม่ว่าชนชาติไหนได้ลองชิมก็ถือว่าถูกปาก กินได้ ติดใจแน่นอน

1) ทาโกะยากิ (Takoyaki)
2) โอโคโนมิยากิ พิซซ่าญี่ปุ่น (Okonomiyaki)
3) ข้าวหน้าเนื้อ (Gyudon กิวด้ง)
4) ซาชิมิ (Sashimi) และซูชิ (Sushi)
5) โอมูไรซ์ (Omuraisu)
6) ยากินิขุ เนื้อย่าง (Yakiniku) และห้ามพลาดลิ้นวัวย่าง (Gyutanyaki)
7) ข้าวหน้าปลาไหล (Unagi Kabayaki)
8) ปูทาราบะ (Taraba Kani)
9) นาเบะ (Nabe)
10) เทมปุระ (Tempura)
11) ราเมง (Ramen)
12) ข้าวแกงกะหรี่ (Kareiraisu)
13) ยากิโทริ ไก่ย่างเสียบไม้ (Yakitori)
14) โอเด้ง (Oden)
15) หมูชุบแป้งทอดทงคัตสึ (Tonkatsu)
16) อุด้ง (Udon)
17) คาราอาเกะ (Kara-Age)
18) โซบะ (Soba)
19) ยากิโซบะ (Yakisoba)
20) ชาบู ชาบู (Shabu Shabu)
21) โอนิกิริ ข้าวปั้นแบบญี่ปุ่น (Onigiri)
22) โคร็อกเกะ (Croquet)
23) ปลาปักเป้า (Fugu) ต้องเลือกร้านดีๆนะครับ เพราะพิษของปลาปักเป้าถ้าทำปลาไม่ดีอันตรายมากครับ
24) เกี๊ยวซ่า (Gyoza)
25) สปาเก็ตตี้ซอสนโปลิตัน (Napolitan Spaghetti) เมนูยอดฮิตตามร้านคาเฟ่ในประเทศญี่ปุ่น
26) ทามาโกะยากิ ไข่หวานม้วน (Tamagoyaki)
27) ข้าวต้มน้ำชา หรือ โอฉะสึเคะ (Ochatsuke)
28) ข้าวไข่ดิบ หรือ ทามาโกะ คาเคโกฮัง (Tamago Kakegihan)
29) สลัดมันฝรั่ง นี่เป็นอีกเมนูที่ฮิตมากในร้านคาเฟ่ครับ (Potato Sarada)
30) นัตโตะ ถั่วหมักแบบญี่ปุ่น (Natto) ขอให้เมนูนี้เป็นอันดับสุดท้ายที่ควรลอง ใครอยากรู้ว่าเพราะอะไรต้องลองด้วยตัวเองครับ


4. ผลไม้ตามฤดูกาล

ผลไม้ของประเทศญี่ปุ่นถือเป็นส่วนที่ทำรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก สายพันธุ์ผลไม้ต่างๆในประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อทั้งความหอม หวาน ผลใหญ่ สวย เป็นที่ติดอกติดใจของทั้งคนในและนอกประเทศครับ ถ้าให้พูดถึงผลไม้ขึ้นชื่อประจำชาติ คงไม่พ้น สตรอเบอร์รี่ พีช พลับ องุ่น และโดยเฉพาะเมล่อนที่เป็นสินค้าส่งออกขึ้นชื่อ ราคาลูกหนึ่งเคยมีการเปิดประมูลอยู่ที่หลักแสนเลยทีเดียวครับ ถือว่าสูงมากสำหรับผลไม้ 1 ลูก


5. ขนมหวานแบบญี่ปุ่น

ขนมของประเทศญี่ปุ่นจะมีลักษณะเฉพาะตัวของตัวขนมที่ค่อนข้างแตกต่างจากที่อื่นแม้จะเป็นขนมชนิดเดียวกันก็ตาม คือ ความนุ่มฟู หวานไม่มาก และรสชาติที่นุ่มละมุนครับ อีกทั้งขนมของประเทศญี่ปุ่นนั้นยังมีความหลากหลายมากแม้บางชนิดจะไม่ใช่ขนมประจำชาติแต่ก็ใช้วิธีการดัดแปลงให้เป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเองได้ ส่วนนี้ถือว่าน่าชื่นชมมากครับ สำหรับขนมญี่ปุ่นที่พี่ช้างแนะนำและมั่นใจว่าหลายๆคนคงต้องชอบเหมือนกัน ก็จะมี ชูครีม พาร์เฟ่ต์ สตรอเบอร์รี่ชอร์ตเค้ก ซอฟท์ครีมหลากรสโดยเฉพาะรสนมสด และมัจฉะจะเข้มข้นสุดๆ แพนเค้กซูเฟล่ หรือ Fluffy Pancake ชีสเค้ก เครปเย็น นอกจากนี้ ยังมีขนมอื่นๆที่น่าลองอีกมากเอาเป็นว่าใครเจออะไรน่าทานรีบสอยแล้วมาแบ่งปันภาพให้พี่ช้างชมบ้างน้า


6. ไปงานคอสเพลย์ที่ใหญ่ที่สุด

ใครๆก็รู้ดีว่าการแต่งคอสเพลย์ถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะ เป็นแหล่งผลิตตัวละคร มังงะ อนิเมะชื่อดัง พี่ช้างเชื่อว่าไม่ว่าใครตอนเด็กๆก็คงมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นเหมือนกับตัวละครในการ์ตูนที่เราชื่นชอบกันแน่ๆ พี่ช้างยังเคยอยากเป็นโงกุนเลยครับ ซึ่งงานคอสเพลย์ที่ถือว่าเป็นที่สุดและควรค่าแก่การไปเยือนอย่างยิ่ง ก็คือ World Cosplay Summit ที่จะถูกจัดขึ้นในทุกๆปี สำหรับปี 2018 นี้งานพึ่งจะหมดไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมานี้เองครับสามารถไปหาชมภาพย้อนหลังได้ที่ Official Website เลย ปีหน้าห้ามพลาดเด็ดขาดคุณอาจได้กระทบไหล่ตัวละครที่คุณชื่นชอบในวัยเด็กก็ได้นะครับ


7. ใส่ชุดยูกาตะและกิโมโน

ไม่ว่าไปประเทศไหนข้อนี้ก็น่าลองสุดๆ เมื่อไปเกาหลีก็ต้องใส่ฮันบกไปถ่ายรูปในพระราชวัง นี่มาถึงประเทศญี่ปุ่นก็สมควรจะลองใส่กิโมโนเดินถ่ายภาพรอบเมืองดูบ้าง ไม่ต้องห่วงว่าจะน่าอายเพราะเมื่อชาวญี่ปุ่นเห็นเค้าจะมองว่าดูน่ารักมากกว่าครับ ก็เหมือนกับเราเห็นชาวต่างชาติใส่ชุดไทยไปเดินเที่ยวนั่นแหละครับ ในเมื่อเป็นชุดประจำชาติและวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นเองถ้าขำก็คงจะเหมือนดูถูกชาติตัวเองไปหน่อยเนอะ


8. เรียนชงชาแบบญี่ปุ่น

การชงชา หรือ ชาโดะ (Chado) ก็ถือเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ เพราะ สามารถช่วยในเรื่องการฝึกสมาธิได้ดี คนที่เรียนคลาสชงชาได้ต้องอดทนกับจิตที่ฟุ้งซ่านให้สงบลงไปในขณะเรียนครับ นอกจากการชงชาแล้วคุณยังจะได้เรียนวิธีทำขนมอย่างง่ายที่ใช้ทานคู่กับชามาตั้งแต่สมัยโบราณแม้ว่าตอนนี้ในญี่ปุ่นจะฮิตชาฝรั่งและขนมตะวันตกกันเยอะมากขึ้นแต่พิธีการชงชาก็ยังเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ พอๆกับโขนของบ้านเราเลยครับ


9. เที่ยวงานเทศกาลแบบญี่ปุ่นและได้ชมดอกไม้ไฟ

งานเทศกาลของญี่ปุ่นที่ควรค่าแก่การไปลอง คือ งานประจำปีที่มักจะถูกจัดขึ้นตามวัดหรือศาลเจ้าต่างๆ คล้ายๆงานวัดประจำปีบ้านเรา แต่งานเทศกาลที่ญี่ปุ่นเราจะได้เห็นวัฒนธรรมของงานเทศกาลที่แตกต่างจากบ้านเราอยู่ค่อนข้างมากทั้งอาหารการกิน ของเล่นต่างๆ ถ้าใครที่เคยดูในการ์ตูนญี่ปุ่นก็อาจจะพอนึกภาพออกครับ


10. ชมเทศกาลซากุระ

เทศกาลชมดอกซากุระของญี่ปุ่นก็ถูกจัดขึ้นทุกปีเช่นกันครับ ต้องดูตามปฏิทินท่องเที่ยว เพราะ ซากุระเริ่มจะออกดอกไม่ตรงกันมาหลายปีแล้วขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แต่เทศกาลนี้กิจกรรมที่เราคุ้นเคยจะเป็นการเข้าไปปูเสื่อนั่งล้อมวงทานอาหารท่ามกลางต้นซากุระที่รายล้อมถือเป็นกิจกรรมครอบครัวที่ดูอบอุ่นมากๆครับ


11. ชมเทศกาลคริสต์มาสต์ของญี่ปุ่น

อย่างที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ว่าคนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับเทศกาลคริสต์มาสต์อยู่มากพอสมควรครับ เรียกได้ว่ามากพอๆกับชาวตะวันตกเลย ส่วนกิจกรรมก็ยังจะคล้ายชาวตะวันตกอีกด้วย คือ มีเค้กฉลอง ทำอาหารและทานอาหารร่วมกับครอบครัวหรือคนรัก ไปออกเดตเป็นคู่ ซื้อของขวัญให้กัน แม้แต่ในเมืองก็จะมีกิจกรรมจัดขึ้นอีกทั้งเทศกาลน้ำแข็ง การจัดไฟประดับตกแต่งส่วนต่างๆรอบเมือง และส่วนสำคัญคือของเซลล์สำหรับเทศกาลคริสต์มาสต์นั่นเองครับ โดนใจชาวเรามากจริงๆ


12. ร้าน Maid cafe

ถ้าใครที่เคยเข้าร้าน Maid cafe ในเมืองไทยแล้วอาจจะพอคุ้นเคยกับบรรยากาศเหล่านั้นดี แม้ว่าค่าบริการนั่งในร้านและค่าอาหารจะแพงไปซักนิดแต่สำหรับเหล่าผู้ชื่นชอบความสดใสน่ารักก็คงจะยินดีควักเงินจ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะกระซิบว่าอยากให้ลองไปเข้าร้านที่ญี่ปุ่นดูบรรยากาศจะค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควรเลยครับ แถมพนักงานยังดูมีความเป็นมืออาชีพ และน่ารักมากๆอีกด้วย ผู้หญิงก็สามารถเข้าได้นะเผลอๆอาจจะติดใจได้เพื่อนสาวกันไปเลย


13. ทำของแฮนด์เมดซักชิ้นของตัวเองกลับไปเป็นที่ระลึก

สำหรับข้อนี้หลายคนอาจจะคิดว่ายากเพราะไม่รู้จะไปทำที่ไหนใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นพี่ช้างขอแนะนำสถานที่ยอดฮิตเลยแล้วกันครับ ที่แรกคือพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชื่อดังของญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารสร้างชาติเลยล่ะครับ ภายในนั้นจะมีส่วน D.I.Y ที่ให้เราได้ปรุงบะหมี่ของเราเองว่าจะใส่อะไรลงไปบ้าง แถมยังสามารถทำลายบนด้วยบะหมี่เองได้ด้วยสามารถหิ้วกลับเมืองไทยได้แบบไม่แตกหักเพราะเค้าจะใช้ถุงนิรภัยพองลมอย่างดีเลยครับ อีกที่นึงที่น่าสนใจคือโรงงานขนมชื่อดังอย่างโรงงานช็อคโกแลตอิชิยะ ผู้ผลิตขนมชิโรยโคอิบิโตะ ช็อคโกแลตบิสกิตแสนอร่อยที่ครองใจใครหลายๆคน ก็จะมีเปิดให้ทำบิสกิต D.I.Y ด้วยตัวเองอยู่สามารถลองเช็คข้อมูลทางเว็ปไซต์ดูได้เลย


14. นั่งรถไฟที่แสนวุ่นวายของญี่ปุ่น

ใครที่เคยมาญี่ปุ่นด้วยตนเองจะหนีไม่พ้นการขึ้นรถไฟที่มีหลายสายพันไปพันมากันอยู่จนดูแผนที่แล้วตาลาย ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าสายรถไฟของญี่ปุ่นไม่ได้มีเจ้าของแค่คนเดียวครับ แต่เป็นของหลายบริษัทลงมาสร้างและถือสัมปทานจนทำให้เกิดเส้นทางและสถานีที่แตกต่างกันออกไปเป็นจำนวนมากแม้ว่าบางสถานีจะไปลงที่ใกล้เคียงกันก็ตาม แต่พี่ช้างว่าถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้นนะครับ เมืองไทยน่าจะทำบ้างเนอะ


15. เล่นเกมส์เซ็นเตอร์

ถ้าพูดถึงเกมส์เซ็นเตอร์ของญี่ปุ่นสิ่งแรกที่นึกถึงสำหรับพี่ช้างจะเป็นเครื่องหนีบตุ๊กตานี่แหละครับ ที่สนุกสุดๆ ลุ้นจนตัวเกร็งเพราะตู้หนีบก็ไม่ได้เล่นง่ายอย่างที่หลายคนคิดนะครับ ยากอยู่เหมือนกันต้องใช้ความสามารถและความอดทนสุดๆ แต่จริงๆแล้วก็มีเครื่องเกมส์อีกหลายอย่างที่น่าลองนะถ้าใครเป็นคอเกมส์ห้ามพลาดเลยนะครับ หรือถ้าใครไม่ใช่สายนี้ “กาชาปอง” ก็ยังพอแทนกันได้อยู่นะ


16. แช่ออนเซ็น

ข้อนี้ดอกจัน*ไว้ล้านตัวมาถึงแหล่งออนเซ็นแล้วจะพลาดไปได้ยังไงครับ น้ำแร่ออนเซ็นของญี่ปุ่นที่อยู่ตามโรงแรมต่างๆก็โอเคแล้วครับไม่ต้องถึงขนาดไปแช่ตามแหล่งในภูเขาเลยเพราะเราไม่รู้ว่ามีสารอะไรที่ไม่เหมาะกับร่างกายหรือเปล่า เอาที่เขาเตรียมไว้ให้แล้วดีกว่า การแช่น้ำร้อนนั้นคนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าดีต่อสุขภาพ เลือดลมในร่างกาย คลายกล้ามเนื้อ แถมยังดีต่อผิวพรรณอีกด้วย อย่างไรก็ตามพี่ช้างแนะนำว่าถ้าพึ่งเคยแช่ครั้งแรกให้ลงไปยืนตรงตื้นๆก่อนเพื่อปรับสภาพร่างกายเมื่อรู้สึกว่าเริ่มชินแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงช้าๆครับ และควรแช่ไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น เพราะการแช่นานๆจะทำให้วิงเวียน และเป็นลมเนื่องจากแร่ธาตุและกลิ่นกำมะถันที่อยู่ในน้ำได้ครับ


17. เขียนคำอธิษฐานที่ศาลเจ้า

คนญี่ปุ่นนั้นนิยมการเขียนคำขอพรลงบนแผ่นไม้ (Ema) หรือกระดาษและแขวนไว้ที่ศาลเจ้าหรือวัด หลังจากสักการะเทพเจ้าเรียบร้อยแล้วเป็นการฝากคำอธิษฐานไว้ อันนี้ต้องขอบอกว่าแล้วแต่ความเชื่อเลยครับ แต่ “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” คำนี้ควรท่องให้ขึ้นใจเลย ใครทำตามพิธีกรรมแบบญี่ปุ่นไม่เป็นก็ใช้การลอกคนญี่ปุ่นเอานะครับไม่ต้องกลัวผิด


18. นอนโรงแรมเรียวกังแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น

โรงแรมเรียวกังแบบญี่ปุ่นจะเป็นแบบปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิ ใช้การปูฟูกนอนบนพื้น ส่วนใหญ่เราจะเห็นได้ตามโรงแรมในต่างจังหวัดของญี่ปุ่น หรือโรงแรมออนเซ็นทั้งหลายครับ ทำให้ได้กลิ่นอายของการนอนโรงแรมแบบดั้งเดิม แถมยังได้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านอีกด้วยเพราะถ้าเป็นโรงแรมที่ไม่ใหญ่มากส่วนใหญ่จะเป็นตัวเจ้าของออกมาต้อนรับ และเสิร์ฟอาหารด้วยตนเอง และพูดคุยกับลูกค้าด้วยครับ


19. ไปร้านขายสินค้ามือสอง

สินค้ามือสองของญี่ปุ่นเป็นที่นิยมมากทั้งในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยกันเอง และคนไทยก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า เฟอร์นิเจอร์ จาน ชาม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆ เพราะคนญี่ปุ่นจะเป็นชนชาติที่ดูแลสิ่งของได้อยู่ในสภาพที่ดีมากๆ ยิ่งถ้าเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมมือสองของญี่ปุ่น ยิ่งเชื่อได้เลยครับ คุณจะเจอสภาพที่ไม่ต่ำกว่า 90% ได้แน่นอน แต่ต้องดูร้านที่เชื่อถือได้นะครับ อย่าไปซื้อตุ๊กตาผีสิงกลับมากันล่ะ


20. พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสินค้าขึ้นชื่อของญี่ปุ่น

ที่ญี่ปุ่นมีพิพิธภัณฑ์อยู่หลายแห่งครับ แม้จะไม่ใช่พิพิธภัณฑ์แต่ก็มีโรงงานผลิตสินค้าชื่อดังที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมกรรมวิธีการผลิตได้โดยตรง พิพิธภัณฑ์ที่ยอดฮิตและน่าสนใจยังไงก็คงไม่พ้น พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (The Instant Ramen Museum) ที่โอซาก้า หรือ พิพิธภัณฑ์แผ่นดินไหว และพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเป็นธีมตัวการ์ตูนต่างๆหลายแห่งอีกมากมาย คราวหน้าพี่ช้างจะนำข้อมูลรวบรวมพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจมากฝากกันครับ

แค่เห็นจำนวนข้อก็เหนื่อยเลยใช่ไหมครับ แต่ไม่เป็นไรครับพี่ช้างว่าใครได้ครบ 5 ข้อก็เก่งสุดๆแล้ว แต่ถ้าใครเก็บครบ 20 ข้อพี่ช้างขอซูฮกเลย คุณกลายเป็นกูรูญี่ปุ่นตัวจริงไปแล้วล่ะเชื่อเถอะ คราวหน้าพี่ช้างจะทำข้อมูลเช็คลิสต์สิ่งที่ควรทำเมื่อไปถึงของประเทศไหนอีก อย่าลืมติดตามชมกันนะครับ