7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง: 7 สถานที่ล้ำค่าทางอารยธรรม

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง: 7 สถานที่ล้ำค่าทางอารยธรรม

ถึงแม้เราย้อนไปหาสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณไม่ได้ เพราะ ด้วยความเก่าแก่ตามการณ์เวลาแหละเหตุการณ์ต่างๆ แต่เรายังมี 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง (คริสตศตวรรษที่ 5 – 16 ) ถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นปริศนาโดยไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้จัด แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายด้วยความมหัศจรรย์น่าหลงใหลของตัวสถานที่นั้นๆ

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ล้วนยังดำรงอยู่เพื่อเป็นหลักฐานว่ามนุษย์สมัยก่อนนั้นสูงส่งด้านอารยธรรมมากแค่ไหน วันนี้พี่ช้างจะพาไปสัมผัสอารยธรรมต่างๆ ที่แม้จะเสื่อมโทรมไปบ้างตามกาลเวลา แต่กลิ่นอายของความทรงจำ ยังคงล้ำค่าในแง่ของประวัติศาสตร์ไม่เคยเสื่อมคลายแม้แต่น้อย 7 สิ่งมหัศจรรย์ในยุคกลางจะมีอะไรบ้างนั่งไทม์แมชชีนตามมาดูกันเลย

 

1. กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)

ประเทศจีนนั้นมีแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลและมีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรื่องมาตั้งแต่สมัยโบราณ นี่คืออีกหนึ่งร่องรอยอารยธรรมที่สร้างเพื่อปกป้องแผ่นดินทำให้มนุษยชาติทั่วโลกได้ตระหนักว่า ประเทศจีนในสมัยประวัติศาสตร์นั้นแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เพียงใด กำแพงเมืองจีน หรือ กำแพงหมื่นลี้” ได้ทอดยาวเพื่อปกปักรักษาแผ่นดินจีนทางตอนเหนือหลายหมื่นกิโลเมตรมาเป็นเวลายาวนานกว่าหลายร้อยปี

ความยาวของกำแพงแห่งนี้เรียกได้ว่าเพียงสายตาของเหยี่ยวก็ยังคงมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมันได้ ทำให้กำแพงเมืองจีนนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่เคยปรากฏขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ ด้วยความยาวกว่า 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ จนถูกนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคกลาง โดยกำแพงเมืองจีนได้ถูกสร้างขึ้นจากหยาดเหงื่อแรงงานนับล้าน โดยแรงงานที่ถูกเกณฑ์มาส่วนใหญ่เป็นนักโทษสงครามและทาส และมีแรงงานจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตในระหว่างการก่อสร้าง ดังนั้น สิ่งก่อสร้างแห่งนี้จึงคู่ควรต่อการเป็นมรดกของโลก และสิ่งมหัศจรรย์ที่น่ายกย่องเพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจว่าเหล่าผู้เสียสละได้สร้างสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ของตนเองได้สำเร็จแล้ว

2. โคลอสเซียม (Colosseum)

สนามกีฬารูปวงรีโค้งยาวใหญ่โตมโหฬารแห่งนี้เป็นทั้งสังเวียนชีวิตและสถานที่ให้ความบันเทิงของผู้คนในยุคโรมัน ทันทีที่ได้เหยียบย่างเข้าไปรับรองว่าทุกท่านจะต้องรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในหนังเรื่อง The Gladiator ที่มีฉากต่อสู้สุดหฤโหดระหว่าง มนุษย์ และ สัตว์ป่าดุร้าย หรือระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง อยากให้ทุกท่านได้ชมภาพยนตร์ก่อนเดินทางไปเพื่อซึมซับบรรยากาศและจินตนาการได้ชัดเจนครับ

หากมองข้ามเรื่องความโหดร้ายทารุณในสมัยนั้นไป ท่านจะได้เห็นการสร้างสรรค์และรายละเอียดของสังเวียนแห่งนี้ที่สามารถทำให้อ้าปากค้างไปได้นานเลย เพราะ สถาปัตยกรรมแห่งนี้ถูกสร้างด้วยอิฐและหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน นับว่าเป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่อลังการสมคำร่ำลือในทุกยุคทุกสมัย และมีการออกแบบโดยใช้เทคนิคโบราณต่างๆ แต่ทำให้สนามแห่งนี้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างไม่น่าเชื่อ

3. หลุมฝังศพแห่งอเล็กซานเดรีย (Catacombs of Alexandria Egypt)

สุสานแห่งนี้อยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เป็นสถานที่ฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณอีกรูปแบบหนึ่งที่นอกเหนือไปจากปิรามิด สถานที่แห่งนี้เป็นอุโมงค์ที่ถูกขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทรายเป็นขั้นๆ ทางเดินจะวกไปเวียนมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ ผนังอุโมงค์ถูกเจาะเป็นช่องๆ ลึกเข้าไปเพื่อใช้เป็นที่บรรจุศพ มีแท่นบูชาและตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ และมีลวดลายแปลกๆ ตกแต่งทำให้ดูเหมือนมีมนตร์ขลังมากๆ โดยเชื่อว่าทางที่วกไปวนมานั้นถูกสร้างมาจากการจินตนาการเส้นทางที่จะนำทางวิญญาณผู้เสียชีวิตไปหาเทพเจ้า “รา” เทพเจ้าแห่งความตายของอียิปต์ตามความเชื่อโบราณ

สำหรับสุสานนี้มีถึง 3 ชั้นด้วยกัน ชั้นที่ 1 มีไว้สำหรับเตรียมการปลงศพ ชั้นที่ 2 เป็นพื้นที่เก็บรักษา และชั้นที่ 3 ใช้เป็นที่รวมญาติเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต

4. สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)

ภาพคุ้นตาสำหรับผู้ที่เคยใช้ Windows นี่คืออนุสรณ์สถานลึกลับแห่งประเทศอังกฤษ มองเผินๆแล้วก็คงเหมือนภูเขาหินกลางพื้นที่โล่งธรรมดาๆ แต่พอมองดีๆแล้วจะเห็นได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรมชาติ แต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ที่ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถไขคำตอบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการสร้าง และวิธีการก่อสร้างได้ บ้างก็ว่าเป็นแท่นพิธีกรรม บ้างก็ว่าเป็นแท่นสังเวย หรือแม้แต่อายุและความเก่าแก่ของสิ่งนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาที่รอการไขกระจ่างอยู่ บ้างก็ว่า 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช  บ้างก็ว่าเก่าแก่ถึง 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช

ที่แห่งนี้มีแท่งหินขนาดยักษ์เกินมนุษย์ 20 คนจะแบกไหว จำนวนมากถึง 112 ก้อนถูกตั้งเรียงรายกันอยู่มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมซ้อนกันสามวง บ้างตั้งบ้างนอนแตกต่างกันไป แต่น่าสงสัยพอๆกับวัตถุประสงค์ในการสร้าง ก็คงจะเป็นวิธีการสร้างเพราะว่าสถาพแวดล้อมบริเวณใกล้เคียงกันนั้นไม่มีหินก้อนใหญ่ๆอยู่เลย คำถามที่น่าฉุกคิดคือสมัยนั้นเขาขนหินชิ้นใหญ่ขนาดนี้มาจากที่ไหน และขนมาจำนวนมากถึงขนาดนี้ได้อย่างไร เพราะ ประเมินดูแล้วอาจต้องใช้ประชากรจำนวนมหาศาลมากทีเดียว มหัศจรรย์ขนาดนี้จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงถูกนับอยู่ใน 7 สิงมหัศจรรย์ยุคกลาง

5. เจดีย์กระเบื้องเคลือบ เมืองนานกิง (Porcelain Tower of Nanjing)

 

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าตั้งอยู่ที่เมืองนานกิง เจดีย์มีลักษณะรูปทรงแปดเหลี่ยม หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว ชายคาแขวนกระดิ่ง 80 ลูกโดยรอบ องค์เจดีย์ก่ออิฐประดับกระเบื้องเคลือบยอดแหลมเป็นทรงกลมต่อขึ้นไปพร้อมเคลือบทอง ประมาณอายุการสร้างอยู่ที่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในสมัยราชวงศ์หมิง สถาปัตยกรรมแห่งนี้ดำรงอยู่ผ่านมาหลายยุคกว่าจะเป็นเจดีย์ที่สูงขนาดนี้ได้ แต่ละยุคก็มีการต่อชั้นให้มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนรวมแล้วมี 9 ชั้น

หากพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ทรงสูงสไตล์ยุโรป นั่นอาจหมายถึง หอเอนปิ แต่สำหรับเอเชียนั้นก็คงหนีไม่พ้นสถานที่แห่งนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายเพราะว่าเจดีย์แห่งนี้ได้ถูกฟ้าผ่า และถูก “กบฎไต้เผ็ง” ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 เหลือไว้เพียงฐานของเจดีย์ แต่ว่ายังมีการสร้างแบบจำลองไว้ให้ชม และมีการสังคายนาเจดีย์แห่งนี้ขึ้นมาอีกครั้งในที่เดิมแต่เพิ่มเติมคือความทันสมัย เพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับสุดยอดเจดีย์หนึ่งเดียวใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งเอเชียนี้

6. หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)

 

จากความผิดปกติของพื้นดินที่ทำให้หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกแห่งนี้เกิดการเอนเอียงไปตามรูปพื้นของแผ่นดิน แต่ความผิดปกตินี้ก่อให้เกิดแลนด์มาร์คสำคัญแปลกตาของอิตาลี และทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกขึ้น มีลักษณะเป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

ที่นี่มีแต่ความน่าแปลกใจแต่ที่มันสามารถเอนได้เนื่องจากชั้นดินมีลักษณะเป็นดินปนทรายและดินโคลนทำให้ไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของหอคอยขนาดใหญ่ได้ แต่ด้วยวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างซึ่งทำมาจากหินปูน และปูนขาว มีคุณสมบัติสามารถโค้งงอ จึงเกิดการเอนโดยไม่หักถล่มลงมา และด้วยความแปลกตาของหอนี้ทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง แรงโน้มถ่วง จากการทดลองของ กาลิเลโอ กาลิเลอิอีกด้วย

7. ฮาเกียโซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia)

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลางที่จะนำเสนอเป็นที่สุดท้ายคือ ฮาเกีย โซเฟีย โบสถ์ทรงโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ อยู่ในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า และต่อมาปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ อีกชื่อหนึ่งของฮาเกียโซฟีอา คือ เซนต์โซฟีอา ซึ่งมาจากชื่อเต็มในภาษากรีก แปลว่า โบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ 

ด้วยความเปลี่ยนแปลงมากมายกว่าพันปีทั้งเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เปลี่ยนแปลงศาสนาและวัฒนธรรม แต่โบสถ์แห่งนี้ก็ยังคงอยู่ก้าวผ่านกาลเวลาที่ยาวนานมาได้ และเก็บกลิ่นอายของทุกช่วงเวลาในรูปแบบของโบสถ์ปัจจุบันที่มีทั้งศิลปะของคริสต์ และอิสสาม ผสมผสานกัน และที่นี่ยังเป็นสัญลักษณ์สากลของสถาปัตยกรรมโบสถ์บนโลกอีกด้วย

 

​​จบไปแล้วสำหรับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง ที่ทุกแห่งถูกยกมานั้นนับว่าเป็นสถานที่ที่ล้ำค่ามากทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอารยธรรม สถานที่เหล่านี้ผ่านกาลเวลามานานแสนนาน บางสิ่งก็ดูน่าสนใจพิศวงทั้งเรื่องราวและการสร้าง บางสิ่งก็เริ่มทรุดโทรมถูกกาลเวลากัดกินไปตามสภาพ หากใครได้อ่านแล้วสนใจอยากไปก็ขอให้รีบไปสัมผัสด้วยตัวเองก่อนที่ 7 สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้จะกลายเป็นแค่เศษซากของวัฒนธรรมและความทรงจำไปในอนาคต